หลักการเขียนเรียงความ

 

กลับสู่หน้าหลัก ................... หลักกฎหมายทั่วไป .......... กฎหมายแพ่งและพาณิชย์

กฎหมายอาญา ........... หลักการเขียนย่อความ ........ รูปต่างๆเกี่ยวกับกฎหมาย

 

เรียงความ หมายถึง เป็นการนำความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ที่ผู้เขียนสนใจและมีความรู้ในเรื่องนั้นดีที่สุด มาเรียบเรียงอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน น่าอ่าน น่าสนใจ โดยอาศัยข้อเท็จจริง ความคิดประกอบด้วยจินตนาการของผู้เขียน ให้ผู้อ่านได้ทราบและเข้าใจ เนื้อเรียงที่จะเขียนเรียงความต้องมีขอบข่ายและความมุ่งหมายเฉพาะไม่กล่าวผิวเผิน ต้องมีตัวอย่างรายละเอียดต่าง ๆ สนับสนุนความคิดเห็นของผู้เขียน สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องมีข้อเท็จจริง ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการเขียน

องค์ประกอบของเรียงความ

รูปแบบของเรียงความประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ

คำนำ คือ การเปิดเรื่อง เป็นการเข้าสู่เรื่องที่จะเขียน เขียนให้น่าสนใจ เพราะเป็นส่วนสำคัญ ที่จะซักนำให้ผู้อ่านติดตาม การเขียนอาจจะตั้งคำถาม สุภาษิต คำขวัญ หรืออาจจะยกคำจำกัดความมาเขียนก็ได้ ต้องมี

นำหน้า น่าอ่าน ไม่ยาวเกินไป ไม่เขียนออกนอกเรื่อง

เนื้อเรื่อง หรือ เนื้อความ เป็นใจความส่วนใหญ่ของเรื่อง ก่อนเขียนต้องวางโครงเรื่อง เรียงลำดับความก่อน - หลัง มีใจความสัมพันธ์กัน ในส่วนเนื้อความจะเป็นส่วนที่ยาวที่สุดของเนื้อเรื่องเนื้อหาต้องมีความเข็มข้นเต็มไปด้วยสาระ มีหลักฐานน่าเชื่อถือ มีเหตุมีผลและมีข้อเท็จจริงกับเนื้อเรื่อง

สรุป เป็นการปิดเรื่อง เป็นการเขียนทิ้งท้ายให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ บทลงท้ายควรใช้ภาษาสั้น ๆ กระซับ น่าอ่าน

ลักษณะของเรียงความที่ดี

1. มีเอกภาพ หมายความว่า เนื้อหาจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่กล่าวนอกเรื่อง ไม่ขึ้นอยู่กับการวาง

โครงเรื่อง

2. มีสัมพันธภาพ หมายความว่า เนื้อหาต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอดทั้งเรื่อง เกิดจากการจัดลำดับความคิดและการวางโครงเรื่องที่ดี และเกิดจากการเรียบเรียงย่อหน้าอย่างมีระเบียบ

3. มีสารัตภาพ หมายความว่า เรียงความแต่ละเรียงจะต้องมีสาระสมบูรณ์ตลอดทั้งเรื่อง ความสมบูรณ์ของเนื้อหาเกิดจากการวางโครงเรื่องที่ดี

รายวิชา ภาษาไทย ใบความรู้ที่ 2 ใช้ประกอบการสอน

รหัสวิชา ท 305 เรื่อง การเขียนเรียงความ เรื่อง แผนการสอนที่ 12

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 “ ไทยรักไทย ไทยเจริญ “

ตัวอย่างเรียงความ : เรื่อง “ ไทยรักไทย ไทยเจริญ ” พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

ไทยรักไทย ไทยเจริญ

หวนระลึกย้อนกลับไปเกือบ 800 ปี อันเป็นระยะเวลาก่อนกรุงสุโขทัยพระมหานครแห่งแรกของเราจะเจริญรุ่งเรือง ในเวลานั้นประเทศไทยหรือประเทศสยามนี้ยังไม่บังเกิด ชนเผ่าไทยปกครองกันเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ต่างก็เป็นอิสระแก่กันอยู่ใต้อิทธิพลของขอม พ่อขุนบางกลางท่าว เจ้าเมืองบางยาง กับพ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด ได้พร้อมใจกันกู้อิสรภาพเป็นผลสำเร็จ พ่อขุนบางกลางท่าวได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกทรงพระนามว่า “ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” แห่งกรุงสุโขทัย

ในระยะนี้เป็นระยะที่ชาติไทยมีความรุ่งเรืองที่สุดระยะหนึ่ง ทั้งทางศาสนาศิลปกรรมและเศรษฐกิจการปกครอง พระมหากษัตริย์ทรงรักษาราษฎรประดุบิดารักบุตรของตน พระราชอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลขึ้นชื่อลือกระเดื่องไปทั่วทุกทิศานุทิศ

ครั้งต่อมาอาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง กรุงศรีอยุธยาเรืองอำนาจเป็นราชธานีอยู่ถึง 417 ปี ฉนั้นเหตุการในประวัติระยะนี้จึงควรแก่การทรงจำยิ่งนักบรรพชนชาวอยุธยาได้สร้างสรรค์ความเจริญนานัปการแก่ชาติ ท่านเหล่านั้นได้สละแล้วซึ่งเลือดในกายจนกระทั่งชีวิตและรักษาความเป็นไทยที่ท่านรักไม่มีผู้ใดจะคัดค้านได้ ถ้าข้าพเจ้าจะกล่าวว่าชาวไทยเป็นคนกล้าหาญเป็นเชื้อชาติเผ่าพันธ์นักรบ แต่เหตุไฉนไทยเราจึงปราชัยย่อยยับ ต้องตกเป็นเมืองประเทศราชของพม่าข้าศึกทั้งสองครั้งสองคราเล่า เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลแล้วก็พอจะสรุปได้ว่าเราขาดความรัก ความสามัคคีในระดับหมู่คณะชาวไทยด้วยกัน เรารักความเป็นใหญ่ส่วนตัว เรื่องทะเลาะเบาะแว้งส่วนตัวเหนือความปลอดภัยของชาติ ความผิดใจกันระหว่างสมเด็จพระมหินทราธิราชกับสมเด็จพระมหาธรรมราชา ทำให้สมเด็จพระมหาธรรมราชายืมมือต่างประเทศ คือ พม่าเข้ามา เป็นการซักน้ำเข้าลึก ซักศึกเข้าบ้าน ทั้งพระยาจักรียังเข้ามายุแหยให้แตกความสามัคคีกันอีก แล้วชาติไทยจะอยู่ได้อย่างไร การเสียกรุงครั้งที่ 2 ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ กล่าวคือ เป็นการอิจฉาริษยากันเอง ภายในผู้นำฝ่ายไทยด้วยกัน

ในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรากำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ ประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ หรือพวกฝ่ายตรงข้ามกำลังแผ่อิทธิพลเข้าสู่ประเทศไทยเราอย่างเห็นได้ชัด จากการโฆษณาชวนเชื่อ และการนำทหารผ่านไปรบประเทศอื่น ซึ่งเราจำต้องยอมอย่างหน้าชื่นอกตรม แผ่นดินรอบ ๆบ้านเราร้อนเป็นไฟไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เราก็ได้เห็นตัวอย่างจากประวัติศาสตร์มาแล้ว เมื่อใดเรามีความรักความสามัคคีซึ่งกันและกัน เมื่อนั้นชาติจะเจริญรุ่งเรือง เมื่อใดเราขาดความสามัคคีเมื่อนั้นเราจะเสียเอกราชความเป็นไท

“ ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล

แม้ชาติย่อยยับอับจน บุคคลจะสุขได้อย่างไร ”

ถ้าเราจะมุ่งผนึกกำลังทั้งกายและใจด้วยกัน โดยถือพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “ สมานสามัคคีให้ดีอยู่ จะสู้ศึกศัตรูทั้งหลายได้ ” พลังของชาวไทยกว่า 35 ล้านคน จะไม่สามารถต่อต้านข้าศึกศัตรูทั้งหลายทั้งปวงเชียวหรือ เปรียบประดุดั่งกิ่งไม้ ลำพังแต่งกิ่งเดียว แม้แต่เด็กก็หักได้โดยง่าย แต่ถ้ามัดรวมกันเป็นกำใหญ่ก็อยากที่จะทำลาย ควรนึกอยู่เสมอว่า ศัตรูที่เขาจะมารุกรานเราเขาจะยุแหย่ให้เกิดความสามัคคีกันก่อน เพราะเมื่อเขาบุกเข้ามาเราไม่รวมกำลังกันมัวแต่เกี่ยงกัน ทะเลาะชิงดีชิงเด่นระหว่างกันเอง เขาก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย

เพราะฉะนั้นชาวไทยจงร่วมรักร่วมสมัครสามัคคีกันไว้ถ้าเผื่อมีข้าศึกมาย้ำยีบีฑาก็จะสู้ได้เต็มแรง ก้อนหินน้อยใหญ่หลาย ๆ ก็สามารถรวมกันเป็นภูผาหลวงได้ฉันใด คนไทยแต่ละคนรวมกำลังเข้าด้วยกันก็สามารถสร้างชาติไทยให้เจริญถาวรได้ฉันนั้น ข้อสำคัญที่สุดคือ ไทยเราอย่าทำลายกันเอง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ให้ช่วยกันบำรุงรักษาประเทศชาติศาสนาและวัฒนธรรมให้รุ่งเรืองถาวรอยู่คู่ฟ้าดิน

เหตุที่ชาติไทยเจริญอยู่ได้ เป็นเพราะชาวไทยรักชาวไทยด้วยกัน ต่างก็มั่นอยู่ในความสามัคคีธรรม โดยถือแม้ตนเองเป็นเชื้อชาติใดนับถือศาสนาใดก็ตาม ต่างก็เป็นข้าแผ่นดินเดียวกันทั้งนั้น เมื่อถือได้เช่นนี้จิตใจของคนไทยก็ย่อมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อไทยรักไทย ไทยต้องเจริญถาวรอย่างไม่ต้องสงสัย